วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คำแปลพระราชบัญญัติพื้นฐานว่าด้วยการศึกษา โดย นางวรรธ์มน บุญญาธิการ นักกฎหมายกฤษฎีกาชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. .... ทำให้ความหวังเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาดูจะจับต้องเป็นรูปธรรมได้ ผู้เขียนซึ่งมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาไปศึกษาต่อ ณ ประเทศญี่ปุ่น เห็นว่าระบบการศึกษาของญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในระบบที่มีความก้าวหน้าและสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของญี่ปุ่นให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูงลำดับต้น ๆ ของโลก จึงได้ศึกษาโครงสร้างพื้นฐานของกฎหมายว่าด้วยการศึกษาของญี่ปุ่นเพื่อหวังว่าจะเป็นข้อมูลเพื่อการปฏิรูปการศึกษาอีกทางหนึ่งเพื่อสร้างอนาคตของชาติให้เข้มแข็ง

ผู้เขียนพบว่ากฎหมายดังกล่าวของญี่ปุ่นได้กำหนด "เป้าหมาย" และ "ผลลัพธ์" ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละระดับไว้ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสามารถสร้าง "นวัตกรรมทางการศึกษาใหม่ ๆ" ขึ้นได้ตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายไทยที่กำหนดรายละเอียดขั้นตอนไว้มากมายจนทำให้ไม่สามารถคิดหรือทำอะไรใหม่ ๆ ได้ ต้องเดินตามระเบียบกฎเกณฑ์และขั้นตอนต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น 

ถ้าเราลองออกกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติโดยกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ไว้ แทนที่จะกำหนดขั้นตอนและวิธีการที่จะต้องทำตามแบบเดิม ๆ อาจทำให้เราปลดพันธนาการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเราได้ดีขึ้น ผู้เขียนจึงได้แปลกฎหมายพื้นฐานว่าด้วยการศึกษาของญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยขึ้น เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยให้สมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐

(คำแปล)

พระราชบัญญัติพื้นฐานว่าด้วยการศึกษา
(พระราชบัญญัติหมายเลข ๑๒๐ 
ใช้บังคับเมื่อวันที่  ๒๒ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๐๖)

สารบัญ

หมวด ๑ วัตถุประสงค์และหลักการของการศึกษา (มาตรา ๑ – ๔)
หมวด ๒ หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติในด้านการศึกษา (มาตรา ๕ – ๑๕)
หมวน ๓ การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน (มาตรา ๑๖ – ๑๗)
หมวด ๔ การประกาศใช้กฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ (มาตรา ๑๘)
บทบัญญัติเพิ่มเติม

อารัมภบท

          เราประชาชนชาวญี่ปุ่นมุ่งหวังให้รัฐที่เป็นประชาธิปไตยและมีวัฒนธรรมที่เราได้สร้างขึ้นมาด้วยความอุตสาหะมีการพัฒนา ไปพร้อม ๆ กับความปรารถนาให้ความสันติสุขของโลกและสวัสดิการของมนุษยชาติมีความก้าวหน้าขึ้นไปยิ่งขึ้น

          เพื่อให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงขึ้นมาได้นั้น เราจะผลักดันการศึกษาที่ให้ความสำคัญแก่ความมีเกียรติของแต่ละบุคคล การศึกษาที่ปรารถนาความจริงและความถูกต้อง การศึกษาที่นับถือจิตวิญญาณร่วมกัน การศึกษาที่สั่งสอนมนุษย์ให้อุดมไปด้วยมนุษย์ธรรมและความสร้างสรรค์ รวมทั้งการศึกษาที่สืบต่อขนบธรรมเนียมประเพณีและสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป

          ในการนี้ เราจึงได้ตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้นตามแนวทางแห่งจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อที่จะสร้างพื้นฐานของการศึกษาและส่งเสริมการศึกษาที่เปิดทางสู่อนาคตของประเทศของเรา

หมวด ๑ วัตถุประสงค์และหลักการของการศึกษา

           (วัตถุประสงค์ของการศึกษา)
        มาตรา ๑ การศึกษาจะต้องถูกจัดไว้เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลอย่างเต็มที่ โดยการบ่มเพาะให้ประชาชนเป็นประชาชนที่มีความเจริญเติบโตทางด้านร่างกายและจิตใจ และซึมซับความมีคุณภาพที่จำเป็นสำหรับประชาชนผู้ที่จะมาเป็นผู้สร้างรัฐและสังคมที่มีสันติสุขและเป็นประธิปไตย

           (เป้าหมายของการศึกษา)
           มาตรา ๒ เพื่อให้วัตถุประสงค์ข้างต้นเป็นจริงได้ การศึกษาจะต้องถูกจัดไว้ตามแนวทางดังต่อไปนี้ ควบคู่ไปกับการเคารพในหลักการของเสรีภาพทางการศึกษา
           ๑) มีนักเรียนที่ได้มาซึ่งความรู้และการอบรมสั่งสอนในแนวกว้าง ส่งเสริมความมีคุณค่าของการค้นหาความถูกต้อง การบ่มเพาะความอุดมของไหวพริบและความรู้สึกต่อศีลธรรม เช่นเดียวกับการสร้างร่างกายที่มีสุขภาพที่ดี
           ๒) ความเคารพคุณค่าของแต่ละบุคคล การพัฒนาความสามารถ บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมจิตวิญญาณของการปกครองตนเอง และความสามารถในการพึ่งพาตนเอง เช่นเดียวกับการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างงานและชีวิตประจำวัน และส่งเสริมการให้คุณค่าต่อการเคารพการทุ่มเทให้กับการทำงาน
           ๓) การบ่มเพาะทัศนคติดในการสร้างสังคมที่ปกครองตนเองบนพื้นฐานของความยุติธรรมและความรับผิดชอบ ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ และการเคารพระหว่างกันและความร่วมมือกัน รวมถึงความมีจิตวิญญาณร่วมกัน
           ๔) บ่มเพาะทัศนคติในการปกป้องสิ่งแวดล้อมโดยเคารพต่อชีวิต การให้ความสำคัญกับธรรมชาติ
           ๕) บ่มเพาะทัศนคติในการสร้างสันติสุขและพัฒนาประชาคมโลกโดยเคารพต่อขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม และรักในประเทศและภูมิภาคที่ให้การเลี้ยงดูเรา รวมทั้งการให้ความเคารพต่อประเทศอื่น

           (แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต)
           มาตรา ๓ สังคมจะต้องถูกนำไปสู่การที่ประชาชนแต่ละคนสามารถเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ในทุกโอกาสและทุกสถานที่ และพวกเขาสามารถนำผลลัพธ์ของการเรียนรู้ตลอดชีวิตไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อขัดเกลาคุณลักษณะของตนเองและเติมเต็มชีวิต

           (ความเสมอภาคทางการศึกษา)
           มาตรา ๔ (๑) ประชาชนทุกคนจะต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมกันที่จะได้รับการศึกษาที่เหมาะสมกับความสามารถของตน  ทั้งนี้ จะต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติในการได้รับการศึกษาด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ ความเชื่อทางศาสนา เพศ สถานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือถิ่นกำเนิด
           (๒) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องจัดให้มีการสนับสนุนทางการศึกษาที่จำเป็น เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าผู้พิการจะได้รับการศึกษาอย่างพอเพียงตามระดับของความพิการของตน
           (๓) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องมีมาตรการในการจัดให้มีความช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาแก่ผู้ที่มีความยากลำบากในการได้รับการศึกษาด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของบุคคลนั้น

หมวด ๒ หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติในด้านการศึกษา

           (การศึกษาภาคบังคับ)
           มาตรา ๕ (๑) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการให้บุตรในความดูแลของตนได้รับการศึกษาทั่วไปตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายอื่น
          (๒) การศึกษาทั่วไปที่ถูกจัดไว้ในรูปแบบของการศึกษาภาคบังคับนั้นจะถูกจัดไว้ตามวัตถุประสงค์ของการบ่มเพาะพื้นฐานของการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองในสังคม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาความสามารถของแต่ละบุคคล และตามวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมความสามารถพื้นฐานที่มีความจำเป็นสำหรับการเป็นผู้ที่จะสร้างชาติและสังคมของเรา
           (๓) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นมีความรับผิดชอบในการเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับการจัดการศึกษาภาคบังคับเพื่อเป็นการรับประกันถึงโอกาสในการได้รับการศึกษาภาคบังคับของประชาชน และให้สามารถมั่นใจถึงการมีมาตรฐานทางการศึกษาอย่างเพียงพอ โดยรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมีการแบ่งบทบาทหน้าที่และให้ความร่วมมือระหว่างกันตามความเหมาะสม
           (๔) จะต้องไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการศึกษาสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น

           (การศึกษาในโรงเรียน)
        มาตรา ๖ (๑) โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายนั้นมีลักษณะที่เป็นสาธารณะ และมีเพียงรัฐ รัฐบาลท้องถิ่น และนิติบุคคลตามกฎหมายเท่านั้นที่จะสามารถจัดตั้งโรงเรียนที่มีลักษณะดังกล่าวได้
           (๒) เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการด้านการศึกษาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โรงเรียนตามวรรคหนึ่งจะต้องจัดให้มีการศึกษาอย่างมีโครงสร้าง ตามแนวทางการจัดการที่เหมาะสมกับการพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้ที่ได้รับการศึกษา ในการนี้ การศึกษาจะต้องถูกจัดให้ในแนวทางที่ปลูกฝังความเคารพวินัยที่จำเป็นสำหรับการบริหารจัดการชีวิตในโรงเรียนของบุคคลที่ได้รับการศึกษานั้น และเน้นย้ำในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งเกี่ยวกับแรงจูงใจในการเรียนรู้ของพวกเขา

           (มหาวิทยาลัย)
           มาตรา ๗ (๑) มหาวิทยาลัยในฐานะแกนกลางของกิจกรรมทางวิชาการ จะให้การพัฒนาสังคมโดยการบ่มเพาะความรู้ขั้นสูงและทักษะพิเศษ ความใคร่รู้ในเชิงลึกเพื่อไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ที่แท้จริง และให้ผลผลิตแก่สังคมอย่างกว้างขวาง
           (๒) ความเป็นอิสระ ปกครองตนเอง และมีคุณลักษณะอื่น ๆ ในด้านการศึกษาในมหาวิทยาลัยและการวิจัยที่เป็นหนึ่งจะต้องได้รับความเคารพ

           (โรงเรียนเอกชน)
           มาตรา ๘ เมื่อพิจารณาถึงการมีคุณลักษณะของความเป็นสาธารณะของโรงเรียนเอกชนและการมีบทบาทที่สำคัญในการศึกษาในระดับโรงเรียน รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องทุ่มเทในการสนับสนุนการศึกษาของโรงเรียนเอกชนผ่านการอุดหนุนและการใช้วิธีการที่เหมาะสมอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กับการให้ความเคารพในการบริหารจัดการตนเองของโรงเรียนเอกชน

           (ครู)
           มาตรา ๙ (๑) ครูของโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต้องทุ่มเทในการทำหน้าที่ของตนเองไปพร้อม ๆ กับการตระหนักอย่างลึกซึ้งในเป้าหมายอันสูงส่งของอาชีพ และอุทิศตนในการวิจัยและการปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง
           (๒) ในการตระหนักถึงความสำคัญของอาชีพและหน้าที่ของครูตามที่ได้อ้างถึงในวรรคหนึ่ง สถานะของครูต้องได้รับความเคารพ และต้องทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลที่เป็นธรรมและเหมาะสม และต้องมีการใช้มาตรการเพื่อปรับปรุงการศึกษาและการฝึกฝน

           (การศึกษาในครอบครัว)
           มาตรา ๑๐ (๑) บิดามารดาและผู้ดูแล ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบในการให้การศึกษาแก่เด็กเป็นลำดับแรก ต้องทุ่มเทในการปลูกฝังเกี่ยวกับกิจวัตรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต บ่มเพาะให้เด็กสามารถพึ่งพาตัวเองได้ รวมทั้งพัฒนาร่างกายและจิตใจให้ความความสมดุล
           (๒) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องทุ่มเทในการใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับการสนับสนุนการศึกษาในครอบครัว เช่น การจัดให้ผู้ดูแลเด็กมีโอกาสในการเรียนรู้และเข้าถึงข้อมูล ไปพร้อม ๆ กับการเคารพความเป็นอิสระของการศึกษาในครอบครัว

           (การศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย)
           มาตรา ๑๑ ในการตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาปฐมวัยในฐานะที่เป็นพื้นฐานของการสร้างคุณลักษณะของบุคคลหนึ่งไปตลอดชีวิต รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องทุ่มเทในการสนับสนุนการศึกษาปฐมวัยโดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพที่ดีให้กับเด็กเล็ก รวมถึงจัดให้มีการดำเนินการด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่เหมาะสม

           (การศึกษาในระดับสังคม)
           มาตรา ๑๒ (๑) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมีความพยายามในการจัดการศึกษาในระดับสังคมที่ตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละบุคคลและสังคม
           (๒) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องพยายามในการส่งเสริมการศึกษาในระดับสังคมโดยวิธีการต่าง ๆ อันได้แก่ การจัดตั้งห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ศาลาประชาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการศึกษาในสังคมในรูปแบบอื่น ๆ การใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของโรงเรียน โอกาสในการเรียนรู้และการจัดให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง

           (ความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ครอบครัว และผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น)
              มาตรา ๑๓ โรงเรียน ครอบครัว ผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่น และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักรู้ถึงการแบ่งบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา รวมถึงทุ่มเทในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างกัน

              (การศึกษาทางการเมือง)
              มาตรา ๑๔ (๑) การศึกษาต้องให้คุณค่าแก่ความรู้ในเรื่องการเมืองที่มีความจำเป็นต่อความรับรู้สำหรับความเป็นพลเมือง
              (๒) โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายจะต้องไม่มีการเรียนการสอนหรือประกอบกิจกรรมทางการเมืองเพื่อเป็นการสนับสนุนหรือต่อต้านพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ

           (ศาสนศึกษา)
           มาตรา ๑๕ (๑) การศึกษาจะต้องให้คุณค่าแก่การนับถือศาสนา ความรู้ทั่วไปเกี่ยกับศาสนาและสถานะของศาสนาในการดำรงชีวิตในสังคม
           (๒) โรงเรียนที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นจะต้องไม่มีการสอนและประกอบกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นการเฉพาะ

หมวด ๓ การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน

           (การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน)
           มาตรา ๑๖ (๑) การศึกษาจะต้องไม่ขึ้นอยู่กับการควบคุมที่ไม่เหมาะสม และต้องถูกจัดให้มีขึ้นตามพระราชบัญญัติฉบับนี้และกฎหมายฉบับอื่น การบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนต้องเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ผ่านการแบ่งบทบาทหน้าที่อย่างเหมาะสมและความร่วมมือกันระหว่างรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น
           (๒) รัฐบาลกลางต้องกำหนดมาตรการด้านการศึกษาและการปฏิบัติแบบเบ็ดเสร็จเพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีความเท่าเทียมในด้านโอกาสทางการศึกษาและเพื่อรักษาและเพิ่มมาตรฐานทางการศึกษาทั่วทั้งประเทศ
           (๓) รัฐบาลท้องถิ่นต้องกำหนดและปฏิบัติตามมาตรการด้านการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมในพื้นที่ในการส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่
           (๔) รัฐและรัฐบาลท้องถิ่นต้องมีมาตรการด้านการเงินที่จำเป็น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการศึกษาจะถูกจัดให้มีขึ้นอย่างราบลื่นและต่อเนื่อง

           (แผนพื้นฐานว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษา)
           มาตรา ๑๗ (๑) เพื่อประโชน์ในการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติตามนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษาอย่างเบ็ดเสร็จและเป็นระบบ รัฐบาลต้องกำหนดแผนพื้นฐานที่ครอบคลุมถึงหลักการพื้นฐาน มาตรการที่จะถูกนำมาปฏิบัติ และนโยบายเฉพาะอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการส่งเสริมการศึกษา  รวมทั้งต้องรายงานแผนพื้นฐานดังกล่าวต่อสภาไดเอ็ทแห่งชาติและเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้รับทราบด้วย
           (๒) รัฐบาลท้องถิ่นจะต้องมีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนพื้นฐานว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาตามวรรคหนึ่ง และต้องใช้ความพยายามในการกำหนดแผนพื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่ของรัฐบาลท้องถิ่นนั้นที่มีความสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมของท้องที่

หมวด ๔ การประกาศใช้กฎหมายและข้อบังคับอื่น

มาตรา ๑๘ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ต้องมีการประกาศใช้กฎหมาย หรือข้อบังคับอื่นที่จำเป็น

บทบัญญัติเพิ่มเติม (ย่อ)
           (วันมีผลใช้บังคับ)
           (๑) พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ประกาศใช้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น