วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เมื่อ สว ไม่ใช่สภาพี่เลี้ยงอีกต่อไป

ปกรณ์ นิลประพันธ์

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 สว ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น “พี่เลี้ยง” แก่ สส ที่มาจากการเลือกตั้งในพื้นที่ แต่เนื่องจากสมัยนั้นการศึกษาของประชาชนยังไม่ทั่วถึงและการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นรวดเร็วมาก สส ส่วนใหญ่จึงยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการตรากฎหมาย สว จึงเป็น “สภาพี่เลี้ยง” ของ สส โดยมีที่มาจากการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่าง ๆ ในลักษณสหวิทยาการ (interdisciplinary)

ต่อมา เมื่อประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมากขึ้น จึงมีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงที่มาของ สว จาก สว แต่งตั้ง เป็น สว เลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน อย่างเดียวกับ สส

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องที่ว่านี้ก็คือ แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ สว ยังคงเป็นอย่างเดิม คือ เป็นสภาพี่เลี้ยงของ สส แต่ให้ สว มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเองอยู่ว่า แล้ว สว ต่างจาก สส อย่างไร เพราะต่างก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเหมือน ๆ กัน ยิ่งรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาได้ให้อำนาจแก่ สว ในการ “ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ด้วย ยิ่งทำให้ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้ว่า เหตุใด สส ไม่มีอำนาจเช่นว่านั้น ทั้งที่มีที่มาเหมือน ๆ กัน

นอกจากนี้ การกำหนดให้ สว ต้องมาจากเลือกตั้ง แต่ไม่สังกัดพรรคการเมือง กลับทำให้ สว ต้องแอบอิงกับระบบการเมืองโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สมัครต้องมีฐานคะแนนเสียงเพื่อประกันว่าตนจะได้รับเลือก แต่เมื่อ สว มิได้สังกัดพรรคการเมือง จะเอาฐานคะแนนเสียงมาจากไหน  การบังคับที่ไม่เป็นธรรมชาตินี้เองที่ทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม ผู้สมัคร สว ส่วนใหญ่จึงมักมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองแบบ “ลับ ๆ ล่อ ๆ” เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงยากเย็นนักที่ สว จะมีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่

แม้หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มาของ สว โดยใช้ระบบผสม กล่าวคือ มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนส่วนหนึ่ง กับ สว สรรหา อีกส่วนหนึ่ง แต่เนื่องจากแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ สว ยังคงเป็นอย่างเดิม คือ เป็นสภาพี่เลี้ยงของ สส และยังมีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปัญหาแบบเดิมก็ยังคงมีอยู่ โดย สว เลือกตั้ง ยังคงอิงกับระบบการเมือง แถมเกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก 2 ปัญหา ประการแรก มีการกล่าวหาว่า สว สรรหา ขาดความยึดโยงกับประชาชน และมีการยกปัญหานี้ในการโจมตีการปฏิบัติหน้าที่ของ สว สรรหา ตลอดมา อีกประการหนึ่ง การแทรกแซงทางการเมืองทำให้เกิดความขัดแย้งในการปฏิบัติหน้าที่ระหว่าง สว ที่มีที่มาแตกต่างกัน จึงทำให้เกิดปัญหาความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของ สว

เมื่อ สว มีปัญหามากมายเช่นนี้ จึงเกิดมีผู้ตั้งคำถามว่า แล้วยังสมควรที่จะให้มี สว ต่อไปอีกหรือไม่??

หากพิจารณาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของ สว ข้างต้นตามหลักการศึกษาแบบ Historical Approach แล้ว เห็นว่า สส นั้นเป็นตัวแทนของประชาชนในพื้นที่และเป็นตัวแทนพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ (Manifesto) และนโยบาย (Policy) ที่แตกต่างกัน  ดังนั้น การพิจารณาร่างกฎหมายของ สส จึงเป็นการพิจารณาในแง่ความต้องการของพื้นที่และนโยบายพรรค ประกอบกับการจัดทำร่างกฎหมายของประเทศไทยยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การพิจารณาร่างกฎหมายของ สส จึงยังอาจไม่รอบคอบรอบด้าน ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันสังคมมีความสลับซับซ้อนมาก การพิจารณาร่างกฎหมายจึงต้องพิจารณาในลักษณะองค์รวม (Holistic) ไม่อาจพิจารณาแบบแยกส่วนดังที่เคยเป็นมาในอดีตได้อีกต่อไป  ดังนั้น สว จึงยังคงมีความสำคัญสำหรับประเทศไทย แต่มิใช่ในฐานะสภาพี่เลี้ยงเหมือนอย่างเช่นที่เคยเป็น หากแต่เป็น “สภาเติมเต็ม” ที่จะช่วยพิจารณาร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของ สส ให้รอบคอบรอบด้านในทุกมิติตามหลักการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมในการตรากฎหมาย

เมื่อ สว มิใช่สภาพี่เลี้ยง แต่เป็นสภาเติมต็ม สว จึงต้องประกอบด้วยผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ หรือทำงานหรือเคยทำงานในด้านต่าง ๆ อยากหลากหลาย ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง  การได้มาซึ่ง สว ต้องแตกต่างไปจาก สส กล่าวคือ “ไม่ใช่ตัวแทนพื้นที่และไม่ใช่ตัวแทนพรรคการเมือง” โดยเปิดกว้างให้ประชาชนสังคม (all walk of life) ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวและไม่มีความเกี่ยวพันกับฝ่ายการเมือง สามารถสมัครเข้ารับเลือกเป็น สว ได้ สำหรับวิธีการเลือกนั้น ให้ผู้สมัครเลือกกันเอง โดย กกต. อาจกำหนดให้มีการเลือกกันเองในกลุ่ม หรือเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มก็ได้เพื่อป้องกันการฮั้วกัน โดยเลือกกันมาตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และสุดท้าย ให้ผู้ได้รับเลือกในแต่ละจังหวัดมาเลือกกันเองที่ส่วนกลางให้เหลือ 200 คน  

นอกจากนี้ การให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ้นจากตำแหน่งนั้น ควรเป็นอำนาจของศาล เพราะจะมีผลเป็นการตัดสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี ของบุคคลด้วย อีกทั้งการให้อำนาจเช่นนั้นแก่ สว ที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการแทรกแซง สว ในรูปแบบต่าง ๆ  ดังนั้น จึงมิได้กำหนดให้ สว มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกต่อไป



วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การกดไลค์กดแชร์เป็นความผิดอาญาทันทีหรือไม่? โดยนายปกรณ์ นิลประพันธ์

ความเห็นทางวิชาการ: การกดไลค์กดแชร์เป็นความผิดอาญาทันทีหรือไม่?

มาตรา 14 แห่ง พรบ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ บัญญัติว่า

"มาตรา 14  ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)"

ดังนั้น การกระทำความผิดตาม (5) จึงต้องการ "เจตนาพิเศษ"  กล่าวคือ ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลนั้นต้อง "รู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)" ถ้าขาดเจตนาพิเศษดังกล่าว การกระทำเช่นว่านั้นก็ไม่เป็นความผิด มิใช่ว่าเพียงกดไลค์หรือแชร์แล้วจะเป็นความผิดทันทีตามที่มีการกล่าวอ้างโดยอาศัยความไม่รู้กฎหมายของประชาชนเพื่อให้เกิดความกลัว มิเช่นนั้นการจับกุมของเจ้าหน้าที่จะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเสียเอง

นอกจากนี้ โทษที่กำหนดเป็นโทษอาญา พนักงานสอบสวนจึงต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดมีเจตนาเช่นว่านั้น เพื่อไปขอออกหมายจับ เพราะมิใช่ความผิดซึ่งหน้า การกล่าวหาลอย ๆ เพื่อขอให้ศาลออกหมายจับจึง "อาจ" เป็นการขอออกหมายจับโดยมิชอบ อันจะทำให้การจับเป็นการจับที่มิชอบด้วยกฎหมายไปด้วย และจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมโดยรวม.