วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค: แบบนี้ดีไหม?

                                                                           ปกรณ์ นิลประพันธ์

ร่าง
บันทึกหลักการและเหตุผล
ประกอบร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ….
                  

หลักการ

                   ให้มีกฎหมายว่าด้วยสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย

เหตุผล

                   โดยที่ผู้บริโภคได้แก่ประชาชนทุกคนของประเทศที่บริโภคสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การคุ้มครองผู้บริโภคจึงเป็นภารกิจที่ครอบคลุมถึงประชาชนทุกคน ยิ่งสินค้าและบริการมีความหลากหลายมากขึ้นเท่าใด การคุ้มครองผู้บริโภคก็ยิ่งต้องขยายออกไปกว้างขวางมากขึ้นเท่านั้น แม้ปัจจุบันรัฐจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรงอยู่แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและอัตรากำลัง รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติราชการทำให้การดำเนินภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคโดยภาครัฐฝ่ายเดียวนั้นเกิดผลสัมฤทธิ์ไม่มากนัก  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนั้นประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคมีความตื่นตัวในการคุ้มครองสิทธิของตนเองมากขึ้น มีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นนิติบุคคลที่มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคโดยไม่แสวงหากำไรเพิ่มมากขึ้น  สมควรส่งเสริมให้องค์กรเหล่านี้รวมตัวกันเป็นสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทยเพื่อสร้างเครือข่ายการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีความเข้มแข็ง อันเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐในด้านต่าง ๆ ทั้งการส่งเสริม คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค การให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค การศึกษา วิจัย วิเคราะห์ ทดสอบ หรือทดลอง คุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไปเพื่อให้ผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสมควรกำหนดให้สภาองค์กรดังกล่าวมีอำนาจให้บริการรับรองคุณภาพหรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยรวม  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้


ร่าง
พระราชบัญญัติ
สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ….
                  

...........................................
...........................................
............................................

                   .........................................................................................................................................
..........................................

                   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย

                   .........................................................................................................................................
..........................................

                   มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....

                   มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                   มาตรา ๓  ในพระราชบัญญัตินี้
                   “ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
                   “สิทธิของผู้บริโภค” หมายความว่า สิทธิของผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
                   “สภาองค์กร” หมายความว่า สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   “ข้อบังคับหมายความว่า ข้อบังคับของสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   “สมาชิกหมายความว่า สมาชิกของสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                   “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                    กรรมการหมายความว่า กรรมการสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
               พนักงานหมายความว่า พนักงานและลูกจ้างของสภาสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย
                    พนักงานเจ้าหน้าที่หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
                   “รัฐมนตรีหมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

                   มาตรา ๔  ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

การจัดตั้ง
                  

                   มาตรา ๕  ให้จัดตั้งสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทยขึ้น มีอำนาจหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้
                   ให้สภาองค์กรเป็นนิติบุคคล

                   มาตรา ๖  สภาองค์กรมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
                   (๑) ส่งเสริม คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
                   (๒) ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
                   (๓) ส่งเสริม สนับสนุน หรือจัดให้มีการศึกษา วิจัย วิเคราะห์ ทดสอบ หรือทดลอง
คุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ และเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสมาชิกและผู้บริโภคทั่วไป
                   (๔) รับรองคุณภาพหรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการ
              (๕) ร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
                   (๖) เป็นตัวแทนของสมาชิกในการประสานนโยบายและดำเนินงานระหว่างสมาชิกกับรัฐ
                   (๗) ควบคุมดูแลให้สมาชิกปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและกิจการที่เกี่ยวข้อง เพื่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสภาองค์กร
                   (๘) ปฏิบัติกิจการอื่น ๆ ตามแต่จะมีกฎหมายระบุให้เป็นหน้าที่ของสภาองค์กร

                   มาตรา ๗  ห้ามสภาองค์กรกระทำการ ดังต่อไปนี้
                   (๑) ประกอบวิสาหกิจ เข้าดำเนินการในการประกอบวิสาหกิจของบุคคลใด เข้าถือหุ้น เป็นหุ้นส่วนหรือร่วมทุนในการประกอบวิสาหกิจกับบุคคลใด
                   (๒) ดำเนินการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายการแข่งขันทางการค้าอันพึงมีตามปกติวิสัยของการประกอบวิสาหกิจ
                   (๓) ดำเนินการด้วยประการใด ๆ อันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือระบบเศรษฐกิจของประเทศ
                   (๔) ให้กู้ยืมเงินหรือให้เงินแก่สมาชิกหรือบุคคลอื่นใด เว้นแต่เป็นการให้กู้ยืมเพื่อเป็นการสงเคราะห์พนักงานหรือครอบครัวของพนักงานตามข้อบังคับ หรือเป็นการให้เพื่อการกุศลสาธารณะ
                   (๕) กีดกันหรือขัดขวางมิให้ผู้ใดซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเป็นสมาชิกได้ตามพระราชบัญญัติและข้อบังคับเข้าเป็นสมาชิก หรือให้สมาชิกออกจากสภาองค์กรโดยขัดต่อพระราชบัญญัติหรือข้อบังคับ
                   (๖) แบ่งปันผลกำไรหรือรายได้ให้แก่สมาชิก
                   (๗) ดำเนินการทางการเมือง

                   มาตรา ๘  ให้สภาองค์กรมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และมีสำนักงานสาขาในจังหวัดอื่นได้ตามความจำเป็น
                   การจัดตั้งสำนักงานสาขาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ

                   มาตรา ๙  สภาองค์กรอาจจัดให้สมาชิกที่สถานที่ตั้งในเขตท้องที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันอยู่ในกลุ่มสมาชิกเดียวกัน หรือจะจัดกลุ่มสมาชิกตามในรูปแบบอื่นก็ได้
                   การจัดกลุ่มสมาชิกตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ

                   มาตรา ๑๐  สภาองค์กรอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้
                   (๑) ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงของสมาชิก
                   (๒) ค่าบริการในการรับรองคุณภาพหรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการ
                   (๓) ทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้
                   (๔) เงินรายได้อื่น ๆ

                   มาตรา ๑๑  ห้ามบุคคลใดนอกจากสภาองค์กรใช้ชื่อที่เป็นภาษาไทยว่า สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทยหรืออักษรต่างประเทศที่แปลหรืออ่านว่าสภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคแห่งประเทศไทย

หมวด ๒
สมาชิก กรรมการ และพนักงาน
                  

                   มาตรา ๑๒  สภาองค์กรมีสมาชิกสองประเภท คือ
                   (๑) สมาชิกสามัญ
                   (๒) สมาชิกสมทบ
                   สมาชิกทั้งสองประเภทมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดในข้อบังคับ

                   มาตรา ๑๓  สมาชิกสามัญของสภาองค์กรต้องเป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม คุ้มครอง หรือเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคโดยไม่แสวงหากำไร

                   มาตรา ๑๔  สมาชิกสมทบของสภาองค์กรต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
                   (๑) เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริม คุ้มครอง หรือเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคในราชอาณาจักรตามที่กำหนดในข้อบังคับโดยไม่แสวงหากำไรไม่น้อยกว่าสามปีติดต่อกัน
                   (๒) เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีผลงานทางวิชาการเกี่ยวกับการส่งเสริม คุ้มครอง หรือเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภคในราชอาณาจักรตามที่กำหนดในข้อบังคับ

                   มาตรา ๑๕  ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งจำนวนไม่เกินสิบห้าคนประกอบด้วยกรรมการซึ่งที่ประชุมสมาชิกสามัญเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกสามัญ
                   ให้คณะกรรมการเลือกกันเองเป็นประธานสภาองค์กรคนหนึ่ง รองประธานสภาองค์กรไม่เกินสามคน และเลขาธิการสภาองค์กรคนหนึ่ง
                   การแต่งตั้งตำแหน่งอื่นให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ

                   มาตรา ๑๖  กรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
                   (๑) เป็นพนักงานของสภาองค์กร
                   (๒) เป็นบุคคลล้มละลาย
             (๓) เป็นข้าราชการประจำหรือข้าราชการการเมืองหรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมือง
                   (๔) เป็นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
                   (๕) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก
เว้นแต่ในความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

                   มาตรา ๑๗  กรรมการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี

                   มาตรา ๑๘  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
                   (๑) ตาย
                   (๒) ลาออก
                  (๓) ที่ประชุมใหญ่สภาองค์กรมีมติให้ออกด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกสามัญที่มาประชุม
                   (๔) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖
                   (๕) รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๓๓

                   มาตรา ๑๙  ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้คณะกรรมการจัดให้มีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างภายในภายในหกสิบวัน เว้นแต่วาระของกรรมการผู้นั้นจะเหลือน้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
                   บุคคลซึ่งเข้าเป็นกรรมการแทนตามวรรคหนึ่ง อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระที่ยังเหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

                   มาตรา ๒๐  นอกจากการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามมาตรา ๓๓ ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินกิจการของสภาองค์กรต่อไปเท่าที่จำเป็นจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่เข้ารับหน้าที่
                   กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่งต้องจัดให้มีการประชุมสมาชิกสามัญ เพื่อให้มีคณะกรรมการชุดใหม่ตามมาตรา ๑๕ ภายในสามสิบวันนับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง
                   ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการว่างลงจนเหลือจำนวนน้อยกว่าที่จะเป็นองค์ประชุมตามมาตรา ๒๒ ให้กรรมการที่เหลืออยู่กระทำการในนามของคณะกรรมการต่อไปได้แต่เฉพาะการจัดให้มีการประชุมเพื่อเลือกตั้งหรือแต่งตั้งผู้แทนสมาชิกสามัญเป็นกรรมการแทนตามมาตรา ๑๙ และการจัดให้มีการประชุมใหญ่สภาองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค

                   มาตรา ๒๑  คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและดำเนินงานของสภาองค์กร
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร และให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ด้วย
                   (๑) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของสมาชิก การรับสมัคร คุณสมบัติ วินัย การลงโทษสมาชิกและการพ้นจากสมาชิกภาพ รวมทั้งการอุทธรณ์
                   (๒) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้งคณะกรรมการ
                   (๓) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการประชุมและดำเนินกิจการของคณะกรรมการและการประชุมใหญ่สภาองค์กร
                   (๔) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดตั้งและการดำเนินกิจการของสำนักงานสาขาสภาองค์กรตามมาตรา ๘
                   (๕) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการจำแนกกลุ่มสมาชิกตามมาตรา ๙ ตลอดจนกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                   (๖) ออกข้อบังคับกำหนดค่าลงทะเบียน ค่าบำรุง และค่าบริการที่จะพึงเรียกเก็บจากสมาชิกหรือบุคคลภายนอก
                   (๗) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบัญชีและการเงินของสภาองค์กร
                   (๘) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบรรจุ การแต่งตั้ง การถอดถอน การกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินบำเหน็จ รางวัลพนักงาน รวมทั้งระเบียบ วินัย การลงโทษและการร้องทุกข์ของพนักงาน
                   (๙) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการสงเคราะห์พนักงาน ตลอดจนครอบครัวของบุคคลดังกล่าว หรือผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นพนักงาน
                   (๑๐) ออกระเบียบหรือข้อบังคับในเรื่องอื่นใดที่จำเป็นต่อการดำเนินงานภายในเกี่ยวกับกิจการของสภาองค์กร
                   (๑๑) ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แจง และอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการส่งเสริม คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
                   (๑๒) เสนอแนะให้ความเห็นและให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีในเรื่องที่เกี่ยวกับการส่งเสริม คุ้มครอง และเผยแพร่สิทธิของผู้บริโภค
                   การกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับตามวรรคหนึ่ง ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สภาองค์กร

                   มาตรา ๒๒  การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดตามมาตรา ๑๕ จึงจะเป็นองค์ประชุม
                   ให้ประธานสภาองค์กรเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานสภาองค์กรไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้รองประธานสภาองค์กรเป็นประธานในที่ประชุมตามลำดับ
                   ถ้าประธานและรองประธานสภาองค์กรไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะกรรมการเลือกกรรมการซึ่งเป็นสมาชิกสามัญคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
                   การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือตามเสียงข้างมาก
                   กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด
                   ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้ามีการพิจารณาเรื่องใดที่เกี่ยวกับตัวกรรมการผู้ใด กรรมการผู้นั้นมีสิทธิชี้แจงในเรื่องนั้น แต่ไม่มีสิทธิออกเสียง

                   มาตรา ๒๓  ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ประธานสภาองค์กรเป็นผู้แทนของสภาองค์กร
                   การดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้เป็นไปตามที่กำหนดในข้อบังคับ


การดำเนินกิจการ
                  

                   มาตรา ๒๔  ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประชุมใหญ่สภาองค์กรปีละหนึ่งครั้ง การประชุมใหญ่เช่นนี้เรียกว่าประชุมสามัญ
                   การประชุมใหญ่คราวอื่นนอกจากการประชุมตามวรรคหนึ่ง เรียกว่าการประชุมวิสามัญ

                   มาตรา ๒๕  เมื่อมีเหตุจำเป็น คณะกรรมการจะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้
                   สมาชิกสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกสามัญจะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้เรียกประชุมวิสามัญก็ได้ ในหนังสือร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด
                   ในกรณีที่สมาชิกสามัญเป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการเรียกประชุมวิสามัญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รับหนังสือร้องขอ

                   มาตรา ๒๖  ในการประชุมใหญ่สภาองค์กร ต้องมีสมาชิกสามัญมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสามัญจึงจะเป็นองค์ประชุม
                   การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือตามเสียงข้างมากของสมาชิกสามัญซึ่งมาประชุม

                   มาตรา ๒๗  ในการประชุมใหญ่สภาองค์กร ถ้าสมาชิกสามัญมาประชุมไม่ครบองค์ประชุม ให้เลื่อนการประชุมนั้นออกไปอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ประธานสภาองค์กรแจ้งวันประชุมครั้งใหม่ให้สมาชิกสามัญทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน การประชุมใหญ่ครั้งใหม่นี้ถ้าเป็นการประชุมที่คณะกรรมการเรียกไม่ว่าจะมีสมาชิกสามัญมาประชุมจำนวนเท่าใดให้ถือเป็นองค์ประชุมได้ แต่การประชุมในครั้งนี้ให้ดำเนินการได้เฉพาะมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ เท่านั้น

                   มาตรา ๒๘  ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานประจำปีแสดงผลงานของคณะกรรมการในปีที่ล่วงมา และคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายเสนอต่อที่ประชุมสามัญพร้อมด้วยงบดุลและบัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปี ซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรองภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน และให้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวไปยังรัฐมนตรีภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ที่ประชุมสามัญรับรองแล้ว

                   มาตรา ๒๙  ผู้สอบบัญชีตามมาตรา ๒๘ นั้น ให้ที่ประชุมใหญ่สภาองค์กรแต่งตั้งจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยผู้สอบบัญชี และต้องไม่เป็นกรรมการหรือพนักงาน
                    ให้ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุดบัญชี และเอกสารหลักฐานของสภาองค์กร และขอคำชี้แจงจากกรรมการและพนักงานได้
                   ให้ผู้สอบบัญชีได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่ที่ประชุมใหญ่สภาองค์กรกำหนด

หมวด ๔
การกำกับโดยรัฐ
                  

                   มาตรา ๓๐  ให้รัฐมนตรีมีอำนาจ ดังต่อไปนี้
                   (๑) กำกับดูแลให้คณะกรรมการดำเนินการตามมาตรา ๒๘
                   (๒) สั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของสภาองค์กร
                   (๓) สั่งเป็นหนังสือให้กรรมการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจการของสภาองค์กร และจะให้ส่งเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินงานหรือรายงานการประชุมของคณะกรรมการด้วยก็ได้
                   (๔) สั่งเป็นหนังสือให้สภาองค์กรหรือกรรมการระงับหรือแก้ไขการกระทำใด ๆ ที่ปรากฏว่าขัดต่อกฎหมายหรือข้อบังคับ
                   เมื่อได้สั่งการตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้รัฐมนตรีแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบพร้อมด้วยเหตุผลในการดำเนินการดังกล่าวภายในสามสิบวัน

                   มาตรา ๓๑  ในการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๐ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบเอกสารหรือหลักฐานในสำนักงานของสภาองค์กรได้ในระหว่างเวลาทำการ หรือให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องชี้แจงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ร้องขอ
                   ในการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้บุคคลซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร

                   มาตรา ๓๒  ในการปฏิบัติการตามมาตรา ๓๑ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
                   บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด

                   มาตรา ๓๓  เมื่อปรากฏว่าสภาองค์กรไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา ๓๐ หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้กรรมการคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง ในกรณีเช่นนี้ กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งไม่มีสิทธิเป็นกรรมการอีก


                   มาตรา ๓๔  ในกรณีที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๓๓ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลจากสมาชิกสามัญของสภาองค์กรจำนวนไม่น้อยกว่าสิบคน แต่ไม่เกินสิบห้าคน เป็นคณะกรรมการชั่วคราวในวันเดียวกันกับวันที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้กรรมการทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง และให้นำความในมาตรา ๑๕ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
                   ให้คณะกรรมการชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการเพียงเท่าที่จำเป็น และดำเนินการเรียกประชุมสมาชิกสามัญภายในหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชั่วคราว เพื่อให้มีการเลือกตั้งและแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ตามมาตรา ๑๕
                   เมื่อคณะกรรมการชุดใหม่เข้ารับหน้าที่แล้ว ให้คณะกรรมการชั่วคราวซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง

บทกำหนดโทษ
                  

                   มาตรา ๓๕  สภาองค์กรฝ่าฝืนมาตรา ๗ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท

                   มาตรา ๓๖  กรรมการผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๗ หรือกระทำการอันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของสภาองค์กร และการกระทำนั้นเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

                   มาตรา ๓๗  ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละห้าพันบาทจนกว่าจะเลิกใช้

                   มาตรา ๓๘  ผู้ใดขัดขวางหรือไม่ชี้แจงหรือไม่อำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา ๓๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท

บทเฉพาะกาล
                  

                   มาตรา ๓๙  ในวาระเริ่มแรก ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจัดให้องค์กรซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๓ สมัครเป็นสมาชิกสามัญของสภาองค์กรภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
                   ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการสภาองค์กรชุดที่หนึ่งภายในสามสิบวันนับแต่พ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ในการนี้ ให้สมาชิกสามัญแต่ละรายเสนอชื่อผู้แทนได้ไม่เกินรายละสามคน
                   การเลือกตั้งตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

………………………………………….

       นายกรัฐมนตรี

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ร่างกฎหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กระบวนการคุ้มครองผู้บริโภค

บันทึกหลักการและเหตุผล
ประกอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานบางประการ
ขององค์กรเอกชนในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
พ.ศ. ....
                  

หลักการ

                   ให้มีกฎหมายคุ้มครองการดำเนินงานบางประการขององค์กรเอกชนในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

เหตุผล

                    โดยที่เป็นการสมควรคุ้มครองการทดสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพ ความปลอดภัย หรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการใด ๆ รวมทั้งการเปิดเผยผลการทดสอบหรือวิเคราะห์ดังกล่าวต่อผู้บริโภคที่ดำเนินการโดยองค์กรเอกชนซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและได้ขึ้นทะเบียนไว้กับรัฐ อันเป็นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับรัฐในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศ  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

  
ร่าง
พระราชบัญญัติ
คุ้มครองการดำเนินงานบางประการขององค์กรเอกชน
ในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
พ.ศ. ....
                  

...............................................
...............................................
...............................................

                   .....................................................................................................................................................
...............................................

                   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายคุ้มครองการดำเนินงานบางประการขององค์กรเอกชนในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

                   .....................................................................................................................................................
...............................................

                   มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานบางประการขององค์กรเอกชนในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค พ.ศ. ....

                   มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                   มาตรา ๓  ในพระราชบัญญัตินี้
                   “ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
                   “สิทธิของผู้บริโภค” หมายความว่า สิทธิของผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค
                   “องค์กรเอกชน” หมายความว่า นิติบุคคลเอกชนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
                   “สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

                   มาตรา ๔  การดำเนินงานขององค์กรเอกชนดังต่อไปนี้ หากเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค และไม่เป็นการเปรียบเทียบกับสินค้าหรือบริการของผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการรายอื่น ไม่เป็นการกระทำความผิด
                    (๑) การทดสอบหรือวิเคราะห์คุณภาพ ความปลอดภัย หรือความคุ้มค่าของสินค้าหรือบริการใด ๆ
                    (๒) การเปิดเผยผลการทดสอบหรือวิเคราะห์ตาม (๑) ต่อผู้บริโภค

                   มาตรา ๕  ในกรณีที่องค์กรเอกชนดำเนินงานตามมาตรา ๔ ร่วมกับสถาบันการศึกษาหรือวิจัยของรัฐหรือเอกชนในประเทศที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล ให้สถาบันการศึกษาหรือวิจัยนั้นได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๔ ด้วย

                 มาตรา ๖  องค์กรเอกชนใดที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าฝ่าฝืนมาตรา ๔ ให้สำนักงานลบชื่อองค์กรเอกชนนั้นจากทะเบียนภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ทราบคำพิพากษาดังกล่าว และให้ประกาศชื่อขององค์กรเอกชนดังกล่าวพร้อมทั้งรายชื่อกรรมการและผู้มีอำนาจจัดการนิติบุคคลนั้นในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานด้วย

                      มาตรา ๗  ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ


..........................................

       นายกรัฐมนตรี

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ร่าง พรบ กำหนดเวลาให้มีการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย

                                                      นายปกรณ์ นิลประพันธ์
                                                            กรรมการร่างกฎหมายประจำ
                                                                  (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ)
                                                                สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

บันทึกหลักการและเหตุผลประกอบ
ร่างพระราชบัญญัติการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ....
                  

หลักการ

                   ให้มีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย

เหตุผล

                   โดยที่กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับแก่สังคม ประกอบกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อความต้องการของสังคม เช่น ทัศนคติของมหาชนในเรื่องต่าง ๆ พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร สภาพทางเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สิ่งแวดล้อมทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนพันธกรณีระหว่างประเทศ เป็นต้น มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงดำเนินการให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของบทบัญญัติของกฎหมายอยู่เสมอ เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีมาตรการที่กำหนดให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของบทบัญญัติของกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ กฎหมายจำนวนมากจึงมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศและการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม กรณีจึงสมควรกำหนดให้ผู้รักษาการตามกฎหมายต่าง ๆ มีหน้าที่จัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายทุกฉบับทุกรอบระยะเวลา และเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและจริงจัง สมควรกำหนดให้ถือว่าผู้รักษาการตามกฎหมายซึ่งไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้



ร่าง
พระราชบัญญัติ
การพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย
พ.ศ. ....
                  

.........................................
.........................................
.........................................

                   ..........................................................................
..........................................

                   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย

                  ...........................................................................
..........................................

                   มาตรา ๑  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ....

                   มาตรา ๒  พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                   มาตรา ๓  ในพระราชบัญญัตินี้
                   “กฎหมาย” หมายความว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และกฎตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
                   “รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และรัฐมนตรีผู้ออกกฎตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองด้วย
                    “องค์กรที่เกี่ยวข้อง” หมายความว่า นิติบุคคลที่มีลักษณะเป็นสมาคม มูลนิธิ หรือสภาที่จัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามกฎหมายเฉพาะ
                   “คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย” หมายความว่า คณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา

                   มาตรา ๔  เพื่อให้บทบัญญัติของกฎหมายสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในประเทศและต่างประเทศที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เมื่อรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายนั้น
                   (๑) เห็นว่ามีเรื่องที่จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายนั้นตามมาตรา ๕
                   (๒) ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้น
                   (๓) ได้รับข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
                   กฎหมายใดที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนหรือข้อเสนอแนะตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายนั้นทุกรอบระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป  ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายนั้นจะบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายไว้เป็นอย่างอื่น
                   การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายนั้นและประชาชนทั่วไปประกอบด้วยก็ได้

                   มาตรา ๕  ในการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายพิจารณาในเรื่องดังต่อไปนี้
                   (๑) การปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดผลกระทบและภาระของรัฐและประชาชนที่เกิดขึ้นจากกฎหมายนั้น
                   (๒) การปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมทั้งของประเทศและของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
                   (๓) การปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ
                   (๔) การใช้ระบบคณะกรรมการ การอนุมัติ การอนุญาต ใบอนุญาต และระบบการจดทะเบียนเพียงเท่าที่จำเป็น
                   (๕) การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

                    มาตรา ๖  ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายเสนอรายงานสรุปผลการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายที่มีสาระสำคัญตามมาตรา ๕ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบภายในกำหนดเวลา ดังต่อไปนี้
                   (๑) ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่มีกรณีตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง
                   (๒) ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ของปีถัดจากปีที่ครบรอบระยะเวลาตามมาตรา ๔ วรรคสอง
                   ในกรณีที่ปรากฏว่าสมควรต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมายนั้นไว้ในรายงานตามวรรคหนึ่งด้วย
                    กฎหมายใดไม่มีการใช้บังคับเกินสามปี ให้
รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายชี้แจงเหตุผลการไม่ใช้บังคับกฎหมายนั้นโดยละเอียดไว้ในรายงานตามวรรคหนึ่งด้วย และให้เสนอยกเลิกกฎหมายนั้นเสีย

                   มาตรา ๗  ในการพิจารณารายงานสรุปผลการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย คณะรัฐมนตรีอาจขอให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายพิจารณาให้ความเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้
                   ในกรณีที่เห็นสมควร คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจะเสนอสรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือจะจัดทำร่างเบื้องต้นของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัตินั้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาด้วยก็ได้

                   มาตรา ๘  เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายใดแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภาและผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อทราบด้วย และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเผยแพร่รายงานนั้นในระบบเครือข่ายสารสนเทศของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
                   ในกรณีที่องค์กรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเป็นผู้ร้องเรียนให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายตามมาตรา ๔ (๒) ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายมีหนังสือแจ้งให้องค์กรดังกล่าวทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง

                   มาตรา ๙  บรรดากฎหมายที่มีผลใช้บังคับภายหลังจากวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากมิได้บัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายไว้เป็นอย่างอื่น ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายจัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายนั้นตามพระราชบัญญัตินี้ทุกรอบระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่กฎหมายนั้นใช้บังคับ
  
                   มาตรา ๑๐  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

                   มาตรา ๑๑  ในวาระเริ่มแรก ให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายแต่ละฉบับจัดให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘

                   มาตรา ๑๒  ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ


.................................

        นายกรัฐมนตรี